บทความมวย นี่คือเรื่องราวของ เฮคเตอร์ คามาโช่ สุดยอดนักชกจากเปอร์โตริโก ผู้ใช้ชีวิตได้สุดทุกด้านไม่ว่าจะในหรือนอกสังเวียนก็ตาม หนึ่งในนักชกที่ฉูดฉาดที่สุดในยุค 80s
บทความมวย เฮคเตอร์ แม้ไม่ได้เป็นหนึ่งในจตุรเทพ แต่ก็เป็นหนึ่งในนักชกที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดมวยสมดังฉายา มาโช (ชายชาตรี)
ด้วยการการเอาชนะ ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด ได้ ถือเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่นักมวยคนหนึ่งควรภาคภูมิใจ เพราะยอดนักชกรายนี้คือหนึ่งในสี่จตุรเทพแห่งยุค 80s ที่สมบูรณ์แบบที่สุด จะบู๊ก็ได้ จะบุ๋นก็ดี และยังมีทักษะเชิงมวยที่ยอดเยี่ยมเกินใคร
ติดตามเรื่องราวของเขาได้ที่นี่กับ MTM88s
เลือกชีวิตอย่างชายชาตรี
เฮคเตอร์ คามาโช่ เป็นชาวเปอร์โตริโกที่เข้ามาเติบโตในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากพ่อและแม่ของเขาแยกทางกัน จึงทำให้แม่ของเขาอพยพเข้ามาอาศัยในมหานครนิวยอร์ก ในห้องเช่านิคมที่รวมตัวกลุ่มชาวฮิสแปนิก (ชาติที่พูดภาษาสเปน) เขาเป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 5 คน และการเป็นน้องเล็กนั้นทำให้เขามักจะได้สิทธิ์โดนตามใจเสมอ และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาโตมาในแบบที่แตกต่างไปจากพี่ๆทั้ง 4 คน
เนื่องจากตัวของพี่ทั้ง 4 นั้นเข้ามาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาในตอนที่รู้ความแล้ว และมันไม่มีข้อแม้สำหรับการล่าอเมริกันดรีม นี่คือดินแดนที่ใครดีใครได้และโอกาสเป็นของทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ต้องลงมือทำงานเพื่อแลกมาซึ่งชิ้นส่วนของความฝันนั้น นั่นหมายความว่าพี่ๆทั้ง 4 ของ คามาโช่ ไม่ได้เรียนหนังสือและต้องช่วยแม่ทำงานมาตั้งแต่ยังเด็ก จนครอบครัวเริ่มลำบากน้อยลง มีเงินพอจะส่งลูกคนสุดท้องตัวแสบให้ได้รับการศึกษา เฮคเตอร์ คามาโช่ คือความหวังของครอบครัวในแง่นั้น เพียงแต่ว่าเจ้าตัวนั้นยังไม่เข้าใจในความลำบากของแม่และพี่ๆที่ยอมทำงานหนักเพื่อให้สิทธิ์นี้กับเขา
คามาโช่ จึงกลายเป็นหัวโจกในโรงเรียน เขาตั้งแก๊งเด็กพูดสเปนขึ้นมา และไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาหลักของสหรัฐอเมริกา เรื่องดังกล่าวสร้างความกลัดกลุ้มให้กับทุกฝ่าย เขาแทบจะไม่ได้ไปเรียนเลยเพราะมัวแต่ไปมีเรื่องตามข้างถนน
เหตุผลส่วนใหญ่ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการต้องการการยอมรับในแบบวัยรุ่น เขาเป็นหนุ่มหล่อหน้าคม มีสาวๆมาติดพันเยอะ และชอบอยู่ในที่ที่มีสปอตไลท์ส่อง จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้เข้าไปอยู่ในห้องเรียนของคุณครูที่มีชื่อว่า แพต แฟลนเนอรี่ ที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษในช่วง ม.ปลาย ของโรงเรียนมัธยมปลายแมนฮัตตัน ที่นี่เปรียบเสมือนโรงเรียนที่รวบรวมเด็กหางแถวมารวมไว้ด้วยกัน แต่ละคนล้วนแต่เป็นตัวแสบตามท้องถิ่นทั้งนั้น
ครูแพต ใช้วิธีใจแลกใจ ด้วยการไม่มองเขาเป็นขยะเหมือนกับครูคนอื่นๆที่ถ้าเห็นเขาทำตัวไม่ดีก็จะตัดหางปล่อยวัด ครูแพต นำ คามาโช่ กลับมาสู่การเรียนได้ด้วยการช่วยติวภาษาอังกฤษ ให้เขาได้ใช้สื่อสารกับคนทั่วไปและใช้ชีวิตในอเมริกาให้ได้ดียิ่งกว่าที่เป็นอยู่
นอกจากการสอนหนังสือแล้ว ครูแพต พยายามสอนให้ คามาโช่ ใช้ชีวิตอย่างชายชาตรีที่แท้จริง และจงทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อหาความหมายของคำๆนี้ให้เจอ..
เดิมทีคำว่าชายชาตรีของคามาโช่คือการควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า เป็นลูกพี่ที่ทุกคนเกรงขาม และใช้ชีวิตแบบไม่มีเสียดาย ซึ่งทั้งหมดถูกแก้ไขโดยคุณครูแพตเสียใหม่ โดยเปลี่ยนความหมายของมันสั้นๆง่ายๆ นั่นคือ “การเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ”
คำสั้นๆง่ายๆนี้เปลี่ยนทุกอย่างโดยแท้จริง ในเมื่อเขาได้รับสิทธิ์ที่แสนพิเศษที่ครอบครัวมอบให้ ถ้าเขาใช้โอกาสนี้สร้างความสำเร็จมันจะทำให้ทุกคนในบ้านหายเหนื่อยและมีกินมีใช้มากขึ้น
กลับกัน ถ้าเขาทิ้งโอกาสนั้นและยังคงเดินสายจิ๊กโก๋ นั่นหมายความว่ากว่า 10 ปีที่ครอบครัวสละเวลาเพื่อเขาจะเป็น 10 ปีที่สูญเปล่า ค่าของมันเท่ากับ 0 ซึ่งเมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว เฮคเตอร์ คามาโช่ จึงเลือกเป็นชายชาตรีในแบบที่จะไม่ทำให้ทุกคนต้องเหนื่อยฟรีอย่างแน่นอน
เมื่อกลายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ
เมื่อเลือกทางที่จะไปได้แล้ว สิ่งที่ควรจะมีหลังจากนั้นคือการลงมือทำมันอย่างจริงจัง เฮคเตอร์ คามาโช่ ได้รับการผลักดันให้เรียนชกมวย จากโครงการของสถานีตำรวจแมนฮัตตันที่มีการสอนชกมวยฟรีๆ
ในคลาสฟรีนั้น เฮคเตอร์ แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทเหมือนกับมันไม่ใช่ของฟรี เขาเห็นคุณค่าของมันและอยากจะทำมันให้ดีเพื่อให้ได้โอกาสเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยโลกแห่งหมัดมวย
การลงทุนด้วยแรงและความตั้งใจของ เฮคเตอร์ ไม่สูญเปล่า หลังจากฝึกชกมวยสากลได้ไม่นาน เขาก็ได้รับการผลักดันเข้าสู่การแข่งขัน “นวมทอง“ (Golden Glove) ซึ่งรายการนี้เป็นรายการมวยสำหรับนักชกเยาวชนและนักชกสมัครเล่นเท่านั้น
เพื่อให้เห็นคุณค่าของการลงมือทำสู่จุดเริ่มต้นของการเป็นนักมวยครั้งนี้ แพต แฟลนเนอรี่ ขอตั้งฉายาให้กับ เฮคเตอร์ คามาโช่ ด้วยตัวเอง เขาเรียกลูกศิษย์คนนี้ว่า “มาโช” (ชายชาตรี) และหลังจากนั้นไม่นานนักชื่อของ เดอะ มาโชแมน ก็กลายเป็นที่พูดถึงในวงการมวยสมัครเล่นในแง่ของ “มวยพรสวรรค์”
“หมอนี่โชคดีมากที่เลือกมาเป็นนักมวย เขาดันเกิดมามีพรสวรรค์ด้านนี้พอดี” เอริค ดราธ (Eric Drath) แฟนคลับผู้ติดตามการชกของ เฮคเตอร์ จนกระทั่งเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของเขากล่าว
ไม่กี่ปีหลังจากชกสมัครเล่น เฮคเตอร์ ก็ได้รับรางวัล “นวมทองคำ” ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเขาคือเบอร์ 1 ของวงการมวยสมัครเล่น และก้าวต่อไปของเขาก็คือการเทิร์นโปร..
การจะเป็นยอดมวยในระดับอาชีพนั้นมีหลากหลายปัจจัย คุณต้องชกในรุ่นที่มีคนดู คุณต้องมีคาแร็กเตอร์ที่ขายได้ และแน่นอนที่สุดคือคุณต้องเก่งจริงๆจนสามารถพูดได้ว่า “ใครก็ได้” ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังจะกลายเป็นภาพจำของ เดอะ มาโชแมน ในช่วงเวลาต่อจากนี้
ชกให้สนุก แสดงให้ถูกใจคนดู
“ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมสนุกที่สุดเลย ผมจำได้ ตัวผมไฟลุกและพร้อมจะระเบิดใส่ใครก็ตามที่ขวางหน้า ผมบ้า ผมเร็วเหมือนกับสายฟ้า และพร้อมให้ไอ้คนที่อยู่ข้างหน้าของผมได้สัมผัสว่าหมัดของผมมันเร็วขนาดไหน” คามาโช่ เล่าถึงเขาตอนที่ยังหนุ่มๆ
20-30 ไฟต์แรกของ เฮคเตอร์ คามาโช่ จบลงด้วยการชนะหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการชนะแบบยืนครบยก โชว์ทักษะการดึงเกมและศักยภาพของความฟิต หรือแม้กระทั่งการชนะน็อกภายในไม่กี่ยกด้วยสปีดและความหนักของหมัด ตั้งแต่ปี 1981 จนถึงปี 1990 เฮคเตอร์ คามาโช่ ชนะรวดทุกไฟต์
ในช่วงเวลาดังกล่าวเขาได้แชมป์โลกมาหลายรุ่น ทั้งการเอาชนะ บ็อบบี้ ชาคอน ในรุ่นเฟเธอร์เวต, ชนะ โรเก้ มอนโตย่า ในรุ่นไลท์เวต, ชนะ เรย์ “บูมบูม” มันชินี่ ในรุ่นไลท์เวลเตอร์เวต จากไอ้เด็กอพยพจากเปอร์โตริโกที่โดนล้อในวัยเด็ก เขากลายเป็นนักชกที่เก่งที่สุดในช่วงเวลานั้น และกลายเป็นนักมวยประวัติศาสตร์ที่ชาวเปอร์โตริโกให้ฉายาว่า “นักมวยที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่เราเคยมี”
“ผมเคยเจอกับ มาโช คามาโช่ ครั้งแรกตอนที่ผมอายุ 12 ปี ตอนนั้นเขาเป็นแชมป์โลกอยู่แล้ว และผมเข้าใจทันทีว่าคนบางคนนั้นมีออร่าของความน่ากลัวอยู่ แม้ว่าสีหน้าของเขาจะยิ้มแย้มพูดคุยกับทุกคนและกินเอมปานาดา (พายแบบสเปน) ทีเดียว 12 ชิ้น โดยที่คนรอบข้างหัวเราะกันหมด” เฟลิกซ์ ตรินิแดด อีกหนึ่งยอดมวยของเปอร์โตริโกที่เป็นรุ่นน้องของ เฮคเตอร์ คามาโช่ ว่าไว้ และครั้งหนึ่งทั้งสองคนเคยขึ้นชกชิงแชมป์กันด้วย
“ผมเคยได้สู้กับเขา เป็นการป้องกันแชมป์ครั้งที่ 3 ของผม ตอนนั้นผมอายุ 21 ปี เขาน่าจะแก่กว่าผมสัก 10 ปีเห็นจะได้ สิ่งที่ มาโช เก่งกาจคือการไหลไปตามจังหวะการชกและด้วยอายุของเขา ที่เมื่ออายุมากขึ้นเขาก็เป็นมวยสมองและมีเกมจิตวิทยามากมายภายใต้ความคิดของชายคนนี้”
ไฟต์นั้นเมื่อปี 1994 ตรินิแดด ที่หนุ่มกว่าชนะ และป้องกันแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวตของ IBF ไปได้ แต่สิ่งที่หนึ่งที่ทำให้เขายอมรับในตัวของ เฮคเตอร์ ในฐานะฮีโร่ของเขาและของชาติ ก็เพราะเรื่องของการที่ทำให้วงการมวยเข้าใจและเห็นความแตกต่างของนักมวยสักคนที่เด่นชัดกว่าใครในเรื่องของคาแร็กเตอร์
ตัวของ เฮคเตอร์ คามาโช่ นั้นถือเป็นนักมวยรุ่นแรกๆที่มีจุดเด่นด้านคาแร็กเตอร์พอๆกับฝีมือ เป็นคนที่แฟนมวยจำได้จากท่าทางเฮฮาต่างๆ และการอยู่หน้ากล้องของเขาก็แสดงออกมาเหมือนกับเป็นดาราภาพยนตร์
เมื่อคามาโช่ขึ้นเวที ทุกสายตาต้องจับจ้อง เมื่อคามาโช่ให้สัมภาษณ์ก่อนไฟต์ คู่ชกอีกคนจะเป็นเหมือนเป็นอากาศธาตุเพราะเขาขโมยซีนไปจนหมด
“ผมเคยโดนเขาเล่นเกมจิตวิทยาใส่เหมือนกัน ก่อนที่เราจะชกกันในวันแถลงข่าว เขานั่งอยู่ปลายโต๊ะ ไม่สนใจใคร ไม่สนใจสื่อ เขาจ้องมาที่ผมตลอดเวลาเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเขาข่มผมได้ และเมื่อถึงคิวที่เขาต้องพูดเขากลับพูดแต่เรื่องไร้สาระ มันทำให้ผมสับสนนะในตอนนั้น ซึ่งผมก็มาเข้าใจทีหลังว่ามันเป็นการแสดง เขาเป็นเหมือนกับดารา” เฟลิกซ์ ตรินิแดด กล่าว
“อย่างที่รู้กัน ในไฟต์นั้นผมชนะเขา และหลังจากได้ผลตัดสิน เขาเข้ามาแสดงความยินดีกับผม โค้งคำนับให้ เหลือเชื่อเลย เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำในสิ่งที่ควรทำเขาก็รู้ตัวอยู่เสมอ เขาทิ้งคำพูดที่เหมือนกับเป็นการส่งต่อเบอร์ 1 ของเปอร์โตริโกให้ผมด้วย เขาบอกว่า -นายเป็นนักชกที่ดี เป็นแชมป์ที่คู่ควร อย่าเพิ่งรีบลงมาล่ะ ปีนขึ้นไปให้สูงยิ่งกว่านี้อีก-“
สิ่งที่ เฟลิกซ์ ตรินิแดด กล่าวมานั้นตรงทุกประเด็น วงการมวยมองเขาแบบนั้นจริงๆ ในช่วงปลายอาชีพแม้ คามาโช่ จะไม่ได้ต่อยเก่งกาจอะไร แต่เขาก็ยังมีการชกอยู่บ่อยๆ เพราะความขายได้ทั้งในและนอกสนาม และหนึ่งในไฟต์ที่น่าจดจำที่สุดคือการได้ชกกับ ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด เทพมวยยุค 80s ซึ่งแม้ทั้งคู่จะแก่มากแล้ว แต่ คามาโช่ ก็ยังเอ็นเตอร์เทนคนดูได้จากภาพจำเดิมๆ เช่นการแต่งตัวด้วยกางเกงมวยสีฉูดฉาด การให้สัมภาษณ์ก่อนและหลังเกมที่ใครได้ยินก็ต้องคิดว่า “หมอนี่มันปากแจ๋วดีแฮะ””ไฟต์กับ ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด นั้นเป็นช่วงที่เราต่างก็เลยจุดพีคไปแล้วทั้งคู่ แต่เอาเถอะผมรู้สึกว่าผมยังเป็นผู้ชายที่ยิ่งใหญ่และข่มขวัญเขาได้อยู่ดี ผมเป็นผู้ชนะ แต่ก็ต้องบอกว่าตอนโดน เรย์ ชก ผมถึงกับร้องเลยนะ ร้องว่า -อุ้ย เจ็บจัง-“ นั่นแหละฝีปากของ เฮคเตอร์ คามาโช่
สุดขั้วถึงวันสุดท้าย
ความจริงเขาควรถูกจดจำไปแบบนั้นตลอดกาล เพียงแต่ว่าตอนจบของชีวิตของ เฮคเตอร์ คามาโช่ นั้นมาถึงเร็ว และมาจากเรื่องที่เขาเคยเอาชนะมันมาได้แล้วในอดีต นั่นคือเรื่องของยาเสพติด
“สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือการที่เราต้องพบว่านักชกอย่าง คามาโช่ ผู้นำความตื่นเต้นมาสู่วงการมวยสากลต้องมาจากไปก่อนวัยอันควร เขาเป็นคนที่สดใส ร่าเริง มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะคำพูดหรือเครื่องแต่งกายที่เขาสวม”
“ถ้าไม่ใช่คนแรกก็ต้องเป็นลำดับต้นๆนี่แหละที่หยิบจับเอาเครื่องแต่งกายแบบเวอร์วังมาขึ้นเวที ทุกอย่างเป็นไปตามจังหวะเทรนด์โลกเหมือนกับเขาเป็นนักร้องเพลงป๊อปเลย”
“นี่คือนักชกที่น่าตื่นเต้นที่สุดและไปในทุกที่ที่มีคนอยากจะเจอเขาไม่ว่าจะรุ่นน้ำหนักไหนก็ตาม” เอ็ด โบรฟี่ ผู้อำนวยการของฮอลล์ ออฟ เฟม มวยสากล กล่าว
หลังจากเลิกชกไปในปี 2010 เฮคเตอร์ คามาโช่ วางมือและกลายเป็นคนที่ใครก็ต่างวิ่งเข้าหาไม่เว้นแม้กระทั่งอาชญากร ว่ากันว่าเขาเข้าไปพัวพันกับแก๊งค้ายาเสพติดในเปอร์โตริโกจนโดนลอบยิงหลายครั้ง จนกระทั่งสุดท้ายเขาก็มาพลาดท่าถูกมือปืนยิงเข้าที่ศีรษะจนเสียชีวิตในปี 2012 ด้วยวัยเพียง 50 ปีเท่านั้น
ครั้งแรกที่เขาโดนยิงเมื่อปี 2011 เขาเคยบอกว่าเขาจะไม่แจ้งตำรวจ เพราะที่เปอร์โตริโกใครๆก็รักเขา และคนที่พยายามจี้ชิงรถก่อนยิงใส่เขานั้นคงไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
อย่างไรก็ตาม หากเข้าไปพัวพันกับโลกอาชญากรรม ความตายก็เหมือนกับการโยนหัวก้อยที่คุณจะต้องเสี่ยงทายในทุกๆวัน น่าเสียดายที่ เฮคเตอร์ คามาโช่ เสี่ยงทายพลาดและต้องจากโลกนี้ไปตลอดกาล ทิ้งไว้เพียงตำนานของนักชกเปอร์โตริโกที่โดดเด่นและสร้างความตื่นตาตื่นใจที่สุดที่โลกเคยมี
ติดตามข่าวสารมวยไปกับหมัดต่อหมัด คลิก
อยากรู้เรื่องมวยฉับไวก่อนใคร แอดมาที่นี่ Line : @UFA88SV1
Facebook : https://www.facebook.com/punchboxing88